วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

'สิว' พยากรณ์ อวัยวะผิดปกติ


การเป็น "สิว" บอกอะไรมากกว่าที่คิด สถาบัน Leonard Darke วิเคราะห์การดูแลผิวหน้าแบบตะวันตกกับการอ่านใบหน้าแบบจีน ได้ผลสรุปว่าสิวที่ขึ้นตามตำแหน่งต่างๆ ของหน้าสามารถบอกความผิดปกติที่เกิดกับอวัยวะภายในได้
ผู้สื่อข่าวรายงาน เคล็ดการสังเกตความผิดปกติของอวัยวะภายใน โดยสถาบัน Leonard Darke ไม่ระบุที่อยู่  ได้ส่งอีเมลไปเผยแพร่ โดยอ้างว่าสถาบัน Leonard Darke ได้คิดค้นวิธีการวิเคราะห์ผิวลึกลงไปอีก  ด้วยการผสานความรู้ในการดูแลผิวหน้าแบบตะวันตกเข้ากับศาสตร์การอ่านใบหน้าแบบจีน ซึ่งสามารถบอกได้ว่าสิวที่ขึ้นตามตำแหน่งต่างๆ ของใบหน้าหรือร่างกาย บอกความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดบ้าง
ข้อมูลนี้ระบุตำแหน่งการขึ้นของสิว กับความสัมพันธ์กับอวัยวะต่างๆ ว่า
1.ขึ้นที่หน้าผากด้านซ้าย  เกี่ยวกับอวัยวะการย่อยอาหาร  กระเพาะปัสสาวะ ต่อมหมวกไต สาเหตุคือ มีความเครียดสูง ล้างหน้าไม่สะอาด
2.ขึ้นที่หว่างคิ้ว เกี่ยวกับตับ สาเหตุคือ อาจมีปัญหาในการย่อยแลคโทส กินอาหารรสจัด หรือกินอาหารดึกเกินไป
3.ขึ้นที่หน้าผากด้านขวา เกี่ยวกับอวัยวะการย่อยอาหาร   กระเพาะปัสสาวะ ต่อมหมวกไต  สาเหตุคือ  มีความเครียดสูง ล้างหน้าไม่สะอาด
4.ขึ้นที่ใบหูทั้ง 2 ข้าง อวัยวะที่เกี่ยวข้องคือ  ไต สาเหตุคือ ล้างแชมพูหรือสบู่ออกไม่หมด ใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไป ดื่มกาแฟ แอลกอฮอล์ หรือกินเนื้อสัตว์มากเกินไป
5.ขึ้นที่แก้มทั้ง 2 ด้าน  แก้มส่วนบนเกี่ยวกับไซนัสและปอด แก้มส่วนล่าง เกี่ยวกับเหงือกและฟัน สาเหตุคือ  สูบบุหรี่จัด แพ้ควันบุหรี่ ภูมิแพ้ เป็นหวัดเรื้อรัง ใช้รองพื้นไม่เหมาะสม ถ้าเป็นริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้ม  อาจบ่งบอกถึงปัญหาเรื่องปอด หรือการหายใจ ถ้ามีสิวแบบเป็นๆ หายๆ ที่แก้มด้านล่าง อาจมีปัญหาเรื่องเหงือกและฟัน รวมทั้งโทรศัพท์ไม่สะอาด
6.ขึ้นที่รอบดวงตา 2 ข้าง เกี่ยวกับอวัยวะไต และปัญหาภูมิแพ้ สาเหตุอาจมาจาก เครื่องสำอาง แว่นตา การมีสารพิษตกค้างในร่างกายมาก พักผ่อนน้อย หรืออาการภูมิแพ้ และขาดสารอาหาร
7.ขึ้นที่จมูก และเหนือริมฝีปาก เกี่ยวกับอวัยวะหัวใจ และระบบสืบพันธุ์  สาเหตุถ้ามีผิวสีแดงเข้มที่จมูก อาจบ่งบอกถึงโรคความดันโลหิตสูง ผลกระทบจากฮอร์โมน การมีประจำเดือน และวัยทอง
8.ขึ้นที่ใต้ริมฝีปากด้านซ้ายและขวา เกี่ยวกับอวัยวะรังไข่ สาเหตุคือ อาจทำความสะอาดได้ไม่ดีพอ หรือมาจากความสมดุลทางฮอร์โมน หากมีปัญหาการอุดตันช่วงใบหู แสดงว่าฟันกรามมีปัญหา อาจจะเพิ่งทำฟันมา  รวมทั้งการมีประจำเดือนด้วย 
9.ขึ้นที่ปลายคาง เกี่ยวกับอวัยวะ กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก สาเหตุคือ กินอาหารรสจัดไป จนทำให้ลำไส้มีปัญหาในการดูดซึม และ 10.ขึ้นลำคอและหน้าอก มีสาเหตุมาจากความเครียด.
นสพ. ไทยโพสต์
 .............................................................................
ข่าววันที่ 7  มี.ค. 49
สับเละ สิวพยากรณ์ ซินแสหยันมั่วศาสตร์
ซินแสดังสับเละ ใครอ้างสิวขึ้นหน้าบอกอวัยวะผิดปกติ ประณามเอาหลักโหงวเฮ้งมาใช้แบบไม่รู้เรื่อง พวกนี้ชอบสร้างมั่วศาสตร์ ชี้ถ้าสิวขึ้นแล้วบอกอวัยวะภายในผิดปกติ
อย่างนี้หนุ่มสาวก็เป็นโรคกันบานเบอะ ส่วนคนแก่โรคน้อยแข็งแรงดี มั่วทั้งนั้น ด้านหมอผิวหนังยังไม่สรุป แพทย์สมัยใหม่ไม่เกี่ยวกัน แต่แพทย์โบราณอาจเป็นไปได้ เหมือนพวกฝังเข็ม
จากกรณีที่หนังสือพิมพ์  เอ็กซ์-ไซท์  ไทยโพสต์ ได้เสนอข่าวเกี่ยวกับการเป็นสิว ซึ่งสามารถบอกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับอวัยวะภายในร่างกายได้ อาทิ ขึ้นที่หน้าผาก การย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะผิดปกติ ขึ้นที่แก้ม มีปัญหาเรื่องปอดหรือการหายใจ โดยสถาบัน Leonard Darke อ้างว่าอาศัยการวิเคราะห์ผิวผสมผสานกับการอ่านใบหน้าแบบจีนนั้น ซินแสชื่อดังไม่เห็นด้วย โดยระบุว่าเป็นมั่วศาสตร์ นำศาสตร์โหงวเฮ้งมารวมกับอะไรก็ไม่รู้
อ.ภาณุวัฒน์  พันธุ์วิชาติกุล ซินแสโหงวเฮ้งและหมอดูฮวงจุ้ยชื่อดัง กล่าวถึงกรณีนี้ว่า เพิ่งเคยได้ยินมาเหมือนกัน ตามหลักวิชามันไม่มี ปกติโหวงเฮ้งบนใบหน้าจะบอกจังหวะก้าวเดินของชีวิต แต่ถ้าสิวขึ้นตรงนี้แล้วอาจเกิดสิ่งผิดปกติกับอวัยวะภายใน หรือระบบร่างกาย อันนี้คงไม่ใช่ มันน่าจะมั่วมากกว่า จับเอาโหงวเฮ้งมารวมกันเละไปหมด
"เรื่องสิวไม่เกี่ยวกันเลย  น่าจะอยู่ที่ฮอร์โมน และการรักษาความสะอาดมากกว่า ไม่ได้เกี่ยวกับโหงวเฮ้งเลยว่า สิวขึ้นตรงนี้แล้วจะเป็นอย่างนี้ ถ้าอย่างนั้นหนุ่มสาวที่เป็นสิวก็ต้องเป็นโรค อวัยวะมีปัญหากันหมด ร่างกายแย่ไปหมด มันไม่เกี่ยวกัน ข้อมูลนี้มันเป็นมั่วศาสตร์ คนที่ออกมาพูด หรือสถาบันที่อ้างวิธีการนี้แล้วลงเว็บไซต์  อาจจะหวังผลทางการค้ามากกว่า  หนุ่มสาวไม่ต้องกังวล พวกนี้มันเอาโหงวเฮ้งมาผสมกันมั่วไปหมด"
ซินแสภาณุวัฒน์กล่าวอีกว่า ตามหลักจริงโหงวเฮ้งจะบอกบุคลิกลักษณะนิสัย แต่ยืนยันว่าสิวไม่เกี่ยวกัน  แต่ถ้ามีไฝ ขี้แมลงวัน ถ้าขึ้นที่หน้า อาจบอกได้ว่าส่วนอื่นของร่างกายอาจมีไฝด้วย  อาจมีส่วนที่เกี่ยวกับร่างกาย แต่ถ้ามีราศีขึ้นบนใบหน้าอันนี้บอกได้แน่นอน ยกตัวอย่าง ถ้าปากซีด จะเกี่ยวกับโรคกระเพาะ จมูกหมอง  มีปัญหาเรื่องตับ  หน้าซีด ความดันต่ำ หน้าแดง ความดันสูง ตรงนี้ถึงจะบอกได้ แต่เรื่องสิวไม่เกี่ยวกับโหงวเฮ้งแน่นอน  ไม่อย่างนั้นเด็กหนุ่มสาวโรคก็เยอะไปหมด แต่คนแก่ไม่มีสิว โรคต่างๆ ไม่มีเลย
ด้าน พญ.พรภุชงค์ เลาห์เกริกเกียรติ แพทย์ผิวหนัง รพ.พญาไท กล่าวว่า ถ้าพูดกันตามแพทย์สมัยใหม่  ตรงนี้ไม่สามารถบอกได้  แต่ถ้าเป็นกรณีสิวขึ้นรุนแรงผิดปกติตามตำแหน่งต่างๆ อาจบอกถึงภาวะของร่างกายในตอนนั้นๆ ได้
"แต่ถ้าบอกว่าสิวที่ขึ้นสัมพันธ์กับอวัยวะภายใน  ตรงนี้ยังไม่มีการพิสูจน์  แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ เหมือนกรณีการฝังเข็ม หรือกดจุดนวดฝ่าเท้า ที่มีอวัยวะเชื่อมโยงกัน ก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ตามหลักจริงๆ ยังไม่น่าจะเป็นไปได้  แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าคิด คงจะต้องมีการเก็บข้อมูลถ้าต้องการพิสูจน์ อย่างถ้าคนเป็นโรคกระเพาะ  สิวจะขึ้นที่บริเวณหน้าผากทุกคน ตรงนี้ก็อาจจะช่วยบอกอะไรได้  แต่ที่ผ่านมากรณีอย่างนี้ยังไม่เคยมีการเก็บข้อมูล" หมอพรภุชงค์กล่าว
ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวได้ถูกเปิดเผยโดยสถาบัน  Leonard Darke ซึ่งไม่ได้ระบุที่อยู่ โดยอ้างว่าเป็นการผสมผสานการตรวจวิเคราะห์ผิว  และการดูแลผิวหน้าแบบตะวันตก  กับศาสตร์การอ่านใบหน้าแบบของจีน ซึ่งสามารถบอกได้ว่าสิวที่เกิดขึ้นตามตำแหน่งต่างๆ บนใบหน้าสามารถบอกความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับอวัยวะต่างๆ ของร่างกายได้.

ฟังหูไว้หู ดีที่สุดจ๊ะ

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เค้กแต่งงาน

ความเป็นมาของเค้กแต่งงาน

           ในสมัยโบราณ เจ้าสาวจะไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสขนมเค้กแต่งงานเลย เนื่องจากเค้กแต่งงานในยุคเริ่มแรกนั้น ทำขึ้นเพื่อ “ปา” ใส่เจ้าสาว เค้กแต่งงานมีพัฒนาการในฐานะที่เป็นหนึ่งในบรรดาสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ที่จะขาดเสียมิได้ในพิธีแต่งงาน ในยุคที่ผ่าน ๆ มา ผู้คนจะคาดหวังว่า บุตรสืบสกุลจะติดตามมาทันทีภายหลังการแต่งงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่แน่นอนพอ ๆ กับมีกลางวันแล้วต้องมีกลางคืน


Cake แต่งงาน


          ข้าวสาลีซึ่งถือกันมานานแล้วว่า เป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์และความเจริญรุ่งเรือง เป็นเมล็ดธัญพืชที่ใช้โปรยใส่เจ้าสาวตามพิธีการ หญิงสาวที่ยังไม่มีคู่ครองจะแย่งกันเก็บเมล็ดข้าวสาลีเพื่อเป็นเครื่องประกันว่า พวกเธอก็จะได้แต่งงานในไม่ช้า การแย่งเมล็ดข้าวสาลีนี้มีคตินิยมเช่นเดียวกับการแย่งช่อดอกไม้ของเจ้าสาวในยุคปัจจุบัน



          ช่างทำขนมชาวโรมันซึ่งมีฝีมือการอบขนมเป็นที่ยกย่องเลื่องลือ เป็นผู้เปลี่ยนแปลงประเพณีปฏิบัติดังกล่าว โดยเมื่อราว 100 ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกช่างทำขนมได้ริเริ่มอบขนมเค้กชิ้นเล็กๆ มีรสหวาน ทำจากข้าวสาลีเพื่อใช้รับประทานในงานแต่งงานแทนที่จะใช้ “ปา” อย่างไรก็ดี แขกที่มาร่วมงานไม่ค่อยชอบใจนักที่อดสนุกกับการโปรยเมล็ดข้าวสาลีใส่เจ้าสาว จึงมักจะโยนเค้กชิ้นเล็ก ๆ นี้แทน

          กวีและปราชญ์ชาวโรมันชื่อ ลูครีเชียส บันทึกไว้ว่าพัฒนาการของการโยนขนมเค้กใส่เจ้าสาวลดความ “รุนแรง” ลงโดยเปลี่ยนเป็นการละเลงขนมลงบนศีรษะของเจ้าสาว และเพื่อสืบทอดความหมายในเชิงสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์คู่บ่าวสาวต้องรับประทานส่วนของขนมที่ถูกละเลงแล้วร่วมกันด้วย



          ประเพณีปฏิบัตินี้แพร่หลายไปทั่วยุโรปตะวันตก ในประเทศอังกฤษเมื่อคู่บ่าวสาวรับประทานขนมแล้ว ต้องจิบเหล้าชนิดพิเศษซึ่งเรียกกันว่า “เหล้าเจ้าสาว” ตามด้วยพิธีโยนเค้กแต่งงานเพื่อเป็นเครื่องหมายให้คู่บ่าวสาว “มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง” นั้นเปลี่ยนแปลงไปอีกในสมัยกลางตอนต้น เมื่อเกิดภาวะข้าวยากหมากแพง เมล็ดข้าวสาลีดิบถูกนำกลับมาใช้โปรยใส่เจ้าสาวอีกครั้งหนึ่ง ขนมเค้กซึ่งเคยอบอย่างพิธีพิถันก็เปลี่ยนเป็นเพียงขนมปังกรอบ หรือขนมปังก้อนเล็ก ๆ ชนิดนุ่มรสหวานที่เรียกว่า “สคอน” (scone) เพื่อรับประทานร่วมกันในงานแต่งงาน แขกที่มาร่วมงานก็จะอบขนมกันมาเอง ส่วนที่เหลือจะนำไปแจกจ่ายให้คนยากจน ประเพณีปฏิบัติที่ประหยัดเรียบง่ายนี้เอง เมื่อเวลาผ่านไป ด้วยความช่างประดิษฐ์ประกอบกับการดูแคลนทุกสิ่งที่เป็นอังกฤษของชาวฝรั่งเศส กลับเป็นที่มาของเค้กแต่งงานเป็นชั้น ๆ ซึ่งหรูที่สุด



Cake     Scone
          ตำนานเล่าว่า ทั่วทุกแห่งในเกาะอังกฤษจะถือเป็นธรรมเนียมที่จะนำขนมปังกรอบ และสคอน ซึ่งแขกนำมาช่วยงานวางซ้อน ๆ กันเป็นกองใหญ่มหึมายิ่งกองสูงเท่าใดยิ่งดี เพราะถือกันว่าความสูงของกองขนมชี้ถึงความเจริญรุ่งเรืองของคู่สมรสในอนาคต และเป็นธรรมเนียมอีกว่า เจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องแลกจุมพิตกันบนกองขนม



          ในช่วงค.ศ. 1660-1669 ระหว่างสมัยของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 พ่อครัวชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง ได้ไปเที่ยวกรุงลอนดอนและเห็นพิธีการ “กองเค้ก” พ่อครัวคนนี้รู้สึกใจหายใจคว่ำกับลักษณะที่คนอังกฤษเรียงขนมเค้กซ้อน ๆ กันและบ่อยครั้งที่กองขนมพังครืนลงมา เขาจึงได้ความคิดที่จะทำขนมเค้กก้อนใหญ่เป็นชั้น ๆ เคลือบด้วยน้ำตาลไอซิง ซึ่งให้ความรู้สึกตื่นตาตื่นใจเหมาะกับพิธีแต่งงาน มากกว่ากองภูเขาขนมปังกรอบที่แสนจะธรรมดา หนังสือพิมพ์อังกฤษในสมัยนั้นพากันประสานเสียงวิพากษ์วิจารณ์ความฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายของชาวฝรั่งเศส



          แต่ปรากฏว่าก่อนจะสิ้นสุดศตวรรษที่ 17 ช่างทำขนมชาวอังกฤษก็พร้อมใจกันทำขนมเค้กแต่งงานก้อนมหึมาเป็นชั้น ๆ บริการให้แก่บรรดาลูกค้าของพวกเขา เค้กแต่งงานโดยส่วนใหญ่จะมีขนาดใหญ่ มีรูปร่างเป็นชั้นๆเรียงกันขึ้นไป และมีการตกแต่งอย่างสวยสดงดงามด้วยครีมและน้ำตาลแต่งหน้าเค้ก ซึ่งในบางครั้งอาจมีการนำอัลมอนด์มาเป็นส่วนผสมในการทำ โดยส่วนยอดของขนมเค้กนั้นมักประดับด้วยตุ๊กตาแทนตัวบ่าวสาว หรือในบางความคิดอาจใช้เป็นรูปนก รูปแหวนทอง หรือรูปเกือกม้า ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี และความเจริญรุ่งเรืองสำหรับคู่บ่าวสาว ซึ่งลักษณะของเค้กแต่งงานที่ดีจะต้องมีเนื้อแน่นสามารถรับน้ำหนักของชั้นเค้กที่ตกแต่งอย่างสวยงามได้และที่สำคัญยังต้องรับประทานได้และอร่อยอีกด้วย สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยทักษะ ฝีมือความคิดสร้างสรรค์และความปราณีตเป็นอย่างมากจากพ่อครัว หรือผู้ทำขนม

Wedding Cake


          ส่วนประเพณีการตัดเค้กนั้น โดยส่วนใหญ่เจ้าสาวจะต้องเป็นคนตัดเค้กเอง โดยที่เจ้าบ่าวมีหน้าที่แค่คอยช่วยเหลือ ซึ่งในประเพณีโบราณ ฝ่ายเจ้าสาวจะต้องตัดเค้กแล้วนำขนมเค้กที่ตัดแล้วไปมอบให้แก่บุคคลต่างๆ ในครอบครัวของเจ้าบ่าวเพื่อแสดงความเคารพ และแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังจะก้าวเข้าไปเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวเจ้าบ่าวนับจากนี้เป็นต้นไป อีกทั้งยังมีประเพณีที่ให้คู่บ่าวสาวป้อนเค้กให้กันและกัน คือการสื่อความหมายถึงการเริ่มต้นชีวิตครอบครัวซึ่งทั้งสองฝ่ายจะต้องสร้างครอบครัวใหม่ด้วยกัน และเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่จะต้องดูแลกันและกันตลอดไป หลังตัดเค้กเป็นชิ้นๆแล้วฝ่ายบ่าวสาวก็จะแบ่งเค้กเหล่านั้นให้กับผู้ที่มาร่วมพิธีได้รับประทานกันซึ่งอาจจะรับประทานเลยหรือนำกลับบ้านไปฝากบุคคลที่ไม่ได้มาร่วมงานก็อาจเป็นได้ ซึ่งในประเพณีโบราณเชื่อว่า หากเพื่อนเจ้าสาวคนไหนอยากฝันเห็นเนื้อคู่ของคนในอนาคต ให้นำเค้กแต่งงานไปไว้ใต้หมอนหรือข้างหมอนแล้วนอนหลับ สาวคนนั้นจะฝันเห็นคู่ชีวิตของตน

          หลังจากวันแต่งงานของคู่บ่าวสาวในยุโรปนิยมเก็บเค้กชั้นบนสุดไว้แล้วนำออกมารับประทานใหม่ในวันครบรอบแต่งงานหนึ่งปีและการฉลองอีกครั้งก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องการให้กำเนิดเจ้าตัวน้อย เพราะเหตุนี้เค้กบางส่วนในพิธีแต่งงานอาจจะถูกเก็บไว้กินเพื่อฉลองในวันครบรอบแต่งงานของบ่าวสาวในปีถัดๆ ไปใช้ฉลองในวันที่คลอดลูกคนแรกแต่โดยส่วนใหญ่จะใช้ในพิธีตั้งชื่อบุตรตามหลักศริสต์ศาสนา ซึ่งจะเก็บรักษาเค้กด้วยการนำเข้าช่องแช่แข็งเอาไว้ ส่วนใหญ่จะเก็บชั้นบนสุดของเค้กที่มักจะตกแต่งด้วยผลไม้ซึ่งสามารถเก็บรักษาเอาไว้ได้เป็นระยะเวลานานด้วยการแช่แข็ง (ในสมัยก่อนวิธีการรักษาเค้กให้เก็บไว้ได้เป็นระยะเวลานานๆ ก็คือการใช้น้ำตาลในปริมาณมากๆ เป็นส่วนผสมในการทำและแต่งหน้าเค้ก เพื่อเพิ่มความหนาแน่นและลดช่องว่างไม่ให้อากาศเข้าไปในเนื้อเค้ก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เค้กหมดอายุหรือเสียเร็วขึ้น)

วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทานอาหารตามกรุ๊ปเลือดเพื่อสุขภาพ








การรับประทานอาหารตามกรุ๊ปเลือด เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่รักสุขภาพ เนื่องจากการรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับกรุ๊ปเลือดจะเป็นการเสริมสร้างสมดุลที่ดีให้แก่ร่างกาย ภูมิต้านทาน ระบบย่อย รวมถึงการลดน้ำหนัก และช่วยทำให้ไม่แก่เร็วอีกด้วย








กินตามกรุ๊ปเลือด (ทน.พญ.ณิชชา ไพรัตน์)
กินตามกรุ๊ปเลือด กำลังเป็นเทรนด์ใหม่ที่ได้รับความนิยมของ Dr.Perer J.D'Adammo ซึ่งได้รับรางวัลแพทย์ธรรมชาติบำบัดยอดเยี่ยมจากอเมริกา ปี 1990 เขาใช้เวลาในการศึกษาเรื่องนี้มานานกว่า 30 ปี จนได้ข้อสรุป และเขียนเป็นหนังสือ Eat Right for your Type เขาอธิบายว่า เลือดแต่ละกรุ๊ปมีสารเคมีในเลือดต่างกัน แต่จะมี Antigen เป็นตัวกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ซึ่งอาหารทุกชนิดล้วนมีโปรตีนซึ่งเป็นอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติเหนียว และจับเกาะติดเลือดเรียกว่า "เล็คติน" ถ้าการกินอาหารที่มีเล็คตินไม่เหมาะสมกับเลือดเรา เล็คตินเหล่านั้นยังเข้าไปรบกวนการทำงานของระบบย่อยอาหาร การสร้างอินซูลิน การเผาผลาญอาหาร และความสมดุลของฮอร์โมน

          คุณสุวิมล  สุธีโสภณ ต้นตำรับอาหารแนว blood type cuisine ในชื่อ The Third Floor อาคารวีรสุ ถนนวิทยุ เป็นผู้ที่ศึกษา และทดลองกินอาหารตามกรุ๊ปเลือดมานานกว่า 3 ปี เธอบอกว่ากินแบบนี้ไม่ทรมานตัวเองจนเกินไป ขณะที่กินอาหารแนวอื่น อาจจะทำให้เรารู้สึกเครียดเพราะความอยากกิน แต่วิธีนี้เพียงแต่เรากินของที่ห้ามให้น้อยลง และกินของมีประโยชน์ให้มากขึ้น ซึ่งผลพลอยได้คือน้ำหนักลด โรคปวดตามข้อค่อย ๆ หายไป

          หลายคนที่เอาหลักการนี้ไปแล้วลองทำกับข้าวกินเองชมว่า เขาน้ำหนักลดลง ไปกินอาหารนอกบ้านก็ไม่ลำบาก เพราะเราสามารถเอาหลักการกินตามกรุ๊ปเลือดไปปรับใช้ได้

กรุ๊ป A นักมังสวิรัติดี ๆ นี่เอง

          คนเลือดกรุ๊ปนี้ส่วนใหญ่จะมีกรดในกระเพาะต่ำ ทำให้ระบบการย่อยไม่ค่อยดี ระบบภูมิคุ้มกันก็ไม่ดี มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และมะเร็ง กรุ๊ปเอจึงถูกจัดเป็นมังสวิรัติ

อาหารที่เหมาะกับกรุ๊ปเลือด

          กินปลาอาทิตย์ละ 3-4 ครั้งเพื่อเสริมโปรตีน หลีกเลี่ยงปลาเนื้อขาว เช่น ปลาตาเดียว หรือปลาจะละเม็ด เพราะมีเล็คตินรบกวนระบบการย่อย หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ต่าง ๆ อาจกินได้นิดหน่อย เลือกดื่มนมถั่วเหลือง นมแพะ หรือโยเกิร์ตไขมันต่ำ แทนนมวัว กินไข่ได้บ้างเป็นครั้งคราว บรรดาตระกูลถั่วต่าง ๆ อาทิ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน ถั่วลิสงที่มีเยื่อหุ้มบาง ๆ และถั่วเหลือง เหมาะกับคนเลือดกรุ๊ปนี้ สามารถกินข้าวกล้องหรือซีเรียลได้วันละ 1-2 ครั้ง ผักทั้งสด และสุกกินแล้วดีโดยเฉพาะหอมหัวใหญ่ และบร็อคโคลี มีสารแอนติออกซิแดนท์สูง แครอท ฟักทอง ผักโขม และกระเทียม ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน 

          กินผลไม้แทบทุกชนิด ยกเว้นแตงโม แคนตาลูป มะม่วง มะละกอ กล้วย ส้ม เพราะย่อยยาก พวกชาสมุนไพรจะไปเพิ่มกรดในกระเพาะ ไวน์แดงดื่มได้ แต่ควรเลี่ยงเบียร์ และน้ำอัดลม


A เลือดกรุ๊ป เอ :
เธอเพียรพยายามกับการไดเอ็ทแบบ ATKINS ที่เน้นเฉพาะเนื้อสัตว์มานาน แต่ หารู้ไม่ว่าเลือดของเธอค่อนข้างเหนียวข้น เมื่อรับประทานเนื้อสัตว์และไขมันเข้าไปจะยิ่งเพิ่มความข้นของเลือดทำให้เลือดไหลเวียนช้า หัวใจก็ทำงานหนักมากขึ้น และมีโอกาสเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคหัวใจ มะเร็งและเบาหวาน นอกจากนี้กระเพาะของเธอยังมีกรดต่ำ รับประทานโปรตีนแล้วไม่ย่อย ถ้าจะให้ดีเธอควรเป็นนักมังสวิรัติเพื่อลดน้ำหนักและสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายแข็งแรง


อาหารที่เหมาะกับเธอ
เนื้อสัตว์ : ห่าง ๆ จากเนื้อสัตว์ทุกชนิดไว้เป็นดี แต่ปลาทะเลบางชนิด เช่น ปลาทู ปลาแซลมอน ปลากะพงก็พออนุโลมได้ รับประทานเนื้อถั่วลิสง เมล็ดฟักทอง และเต้าหู้ เพื่อทดแทนโปรตีนจากสัตว์
ผัก : เสริมสร้างภูมิต้านทานด้วยบร็อคเคอลี่ แครอท กระเทียม หัวหอม ฟักทอง และผักโขม
ผลไม้ : รับประทานได้เกือบทุกชนิด ยกเว้นมะม่วง มะละกอ กล้วย ส้ม เพราะทำให้ระคายเคืองกระเพาะ และเป็นตัวการขัดขวางการดูดซึมของวิตามิน
เครื่องดื่ม : เธอสามารถดื่มกาแฟหรือไวน์แดงได้ (วันละหนึ่งแก้ว) เพื่อช่วยเพิ่มกรดในกระเพาะอาหาร แต่ไม่ควรดื่มนม เบียร์ และโซดา
เคล็ดลับการไดเอ็ท : หากรับประทานอาหารตามกรุ๊ปเลือดสม่ำเสมอ เธอจะน้ำหนักลดลงเองโดยอัตโนมัติ แถมยังได้ชาร์จภูมิต้านทานขนานใหม่ป้องกันโรคภัยโรคภัยต่าง ๆ ด้วย
การออกกำลังกาย : ควรออกกำลังกายแบบเบา ๆ ไม่ออกแรงหักโหมเกินไป เช่น โยคะและไทชิ
ส่วนอาการเครียดที่เธอเป็นบ่อย ๆ สามารถแก้ไขได้ด้วยการนั่งสมาธิเป็นประจำ



กรุ๊ป B อ้วนง่าย

          คนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้ ส่วนใหญ่มีปัญหากับไวรัส และภูมิคุ้มกันบกพร่อง ระบบประสาทไม่ค่อยดี ชอบปวดตามข้อ 
ซึ่งไม่ใช่อาการของเกาต์หรือรูมาตอยด์ มีโอกาสเกิดโรคแผลในสมอง (sclerosis) หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง

อาหารที่เหมาะกับกรุ๊ปเลือด

          เนื้อกระต่าย กวาง แกะ ไก่งวง ควรกินปลาน้ำลึก เช่น ปลาหิมะ และปลาเนื้อขาว อย่างปลาจะละเม็ด ปลาตาเดียว หลีกเลี่ยง เนื้อหมู ไก่ หอยเชลล์ กุ้ง ปู หอยแครง เพราะจะรบกวนระบบในร่างกาย สามารถกินนม เนย ไข่ ในปริมาณที่เหมาะสมได้ ข้าวโอ๊ต และข้าวกล้องดีต่อคนเลือดกรุ๊ปนี้ขณะที่แป้งสาลี ถั่วลิสง และโฮลวีท ไม่ดีต่อระบบเผาผลาญของร่างกายทำให้อ้วนและไม่ดีต่อเลือด อาจเป็นสาเหตุของโรคเส้นโลหิตแตกควรลองแป้งสเปลท์ (spelt) ซึ่งเป็นแป้งที่มีคุณค่าทางสารอาหาร และมีไฟเบอร์สูง ผักใบเขียวทุกชนิดกินดีหมด เพราะมีแมกนีเซียมช่วยป้องกันอาการผื่นคัน แต่ถ้าอยู่ระหว่างไดเอ็ทควรหลีกเลี่ยงมะเขือเทศ และข้าวโพด เพราะมีผลต่อการสร้างอินซูลิน และระบบเผาผลาญ 

          กินผลไม้ได้แทบทุกชนิด ยกเว้น ลูกพลับ ทับทิม และลูกแพร์ ชาสมุนไพรที่ให้ประโยชน์คือ ขิง เปปเปอร์มิ้นต์ โสม ชาเขียว


B เลือดกรุ๊ป บี :
เธอโชคดีกว่าใคร เพราะกรุ๊ปเลือดบี มีความสมดุล คือไม่ข้นหรือเหลวเกินไป จึงเลือกรับประทานอาหารได้หลากหลายครอบครอบคลุมทุกหมู่ รวมทั้งสามารถดื่มนมได้ไม่มีปัญหา และไม่มีแนวโน้มจะเป็นโรคมะเร็งหรือโรคหัวใจเหมือนกรุ๊ป เอ อย่างไรก็ดี เธอจำเป็นต้องเลิกกินข้าวโพดของโปรดเพราะเป็นตัวการทำให้เธอน้ำหนักขึ้นง่ายกว่าอาหารอย่างอื่น

อาหารที่เหมาะกับเธอ
เนื้อสัตว์ : เนื้อแพะ แกะ กระต่าย แม้จะหายากสักหน่อยแต่ก็ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้มากควรหลีกเลี่ยงไก่และไข่ เพราะมีเลคติคไปเกาะกับเซลล์เลือด ปลาทะเลน้ำลึกที่ดีต่อเธอคือ ปลาแซลมอนและปลาหิมะ
ผัก : รับประทานผักใบเขียวมาก ๆ จะช่วยไม่ให้เธอเป็นโรคที่เกี่ยวกับภูมิแพ้ หลีกเลี่ยงมะเขือเทศ ซอสมะเขือเทศ เพราะมีเลคติคซึ่งไปก่อกวนระบบย่อย ขัดขวางระบบเผาผลาญแคลอรีและระดับน้ำตาลในเลือด
ผลไม้ : สับปะรดมีเอนไซม์ช่วยให้ย่อยอาหารได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ควรรับประทานมะพร้าว มะเฟือง และทับทิม
เครื่องดื่ม : ชาสมุนไพรที่ดีคือ ชาเขียว ขิง เปปเปอร์มิ้นต์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งโสม จะช่วยบำรุงระบบประสาท
เคล็ดลับการไดเอท : กุญแจสำคัญสำหรับเธอคือ มันฝรั่ง ข้าวโอ๊ต และสับปะรด เพราะมีไฟเบอร์สูงและช่วยระบบหมุนเวียนของน้ำตาลในเลือด แต่เธอไม่ควรรับประทานข้าวสาลี ข้าวโพด ถั่ว และงา เพราะเป็นต้นเหตุให้ระบบเผาผลาญแคลอรีทำงานช้าและน้ำหนักขึ้นได้ง่าย
การออกกำลังกาย : ควรออกกำลังกายแบบที่ไม่หักโหม แต่ก็ไม่เบาจนเกินไป เช่น เทนนิส ศิลปะป้องกันตัวและปีนเขา



กรุ๊ป O High Protein

          ปัญหาของคนเลือดกรุ๊ปนี้คือ กระเพาะมีความเป็นกรดสูง สามารถย่อยอาหารจำพวกเนื้อได้ดีกว่าเลือดกรุ๊ปอื่น แต่ระบบการเผาผลาญไม่ค่อยดี ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ไม่ค่อยคงที่ จึงทำให้อ้วนง่าย ตามติดมาด้วยปัญหาเลือดแข็งตัวช้า

อาหารที่เหมาะกับกรุ๊ปเลือด

          เลือกกินเนื้อได้ตามใจชอบ กินอาหารทะเลได้เป็นประจำ เพื่อป้องกันโรคเลือดไม่แข็งตัว และไทรอยด์ แต่ระวังเรื่องไขมันและโคเรสเตอรอลด้วย กินนม เนย ไข่ในปริมาณที่พอเหมาะ ถ้าอยากผอมต้องเลี่ยงแป้งสาลี ข้าวโอ๊ต และบรรดาถั่วต่าง ๆ ผัก กินได้แทบทุกชนิด โดยเฉพาะบร็อคโคลี ผักโขม มีวิตามินเคสูง ช่วยให้เลือดแข็งตัว ส่วนผักตระกูลกะหล่ำควรหลีกเลี่ยงเพราะมีผลต่อไทรอยด์ เห็ดหอมและมะกอกดองทำให้เกิดอาการแพ้ มะเขือยาว และมันฝรั่งทำให้ปวดข้อ 

          ผลไม้กินได้แทบทุกชนิดโดยเฉพาะตระกูลเกรปฟรุต ตระกูลเบอร์รี่ (ยกเว้นแบล็คเบอร์รี่) ช่วยลดน้ำหนัก ควรเลี่ยงแคนตาลูป มะพร้าว ส้ม และสตรอเบอร์รี่ เพราะมีกรดสูงเกินไป ชา สมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพ อาทิเปปเปอร์มินท์ Licorice Tea Parsley ฯลฯ ไม่ควรดื่มเบียร์ ชา กาแฟ เพราะจะเพิ่มกรดในกระเพาะให้หนักเข้าไปอีก


O เลือดกรุ๊ป โอ :
เธอเข้าใจมาตลอดว่าผักเท่านั้นที่เป็นหนทางสู่การเป็นเจ้าของรูปร่างที่ดี แต่แท้จริงแล้วคนเลือดกรุ๊ปโออย่างเธอเหมาะกับอาหารจำพวกเนื้อสัตว์เป็นอย่างยิ่ง บุคคลเลือดกรุ๊ปโอนั้น จะมีระบบย่อยเนื้อแดงที่ดีมากเพราะมีความเป็นกรดสูง ทำให้ย่อยเร็วและดูดซึมดี และสามารถให้ประโยชน์สูงสุดต่อส่วนต่างๆของร่างกาย ส่วนอาการเลือดไหลไม่หยุดซึ่งเธอมักประสบบ่อย ๆ เวลาเกิดแผลเป็นเพราะเลือดเธอค่อนข้างเหลว การรับประทานอาหารที่มีวิตามินเค เช่น ตับ ไข่แดง คะน้า สปินิช ผัก Swiss chard และควรหันมารับประทานแป้งสเปลท์แทนแป้งสาลี จะสามารถช่วยเธอได้ คนที่มีเลือดกรุ๊ปโอ ส่วนใหญ่จะมีปัญหาเลือดแข็งตัวช้า นอกจากนี้เธอยังมีปัญหาระดับฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ ซึ่งกระทบระบบเมแทบอลิซึมโดยตรงจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมน้ำหนักเธอถึงขึ้นง่ายกว่าคนอื่น
กรุ๊ปโอ
เป็นกรุ๊ปเลือดที่มีวิตามินมากพอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอาจจะมีปัญหาบ้างที่จะเกี่ยวกับระบบ metabolism (การเผาผลาญเพื่อนำพลังงานไปใช้ในระบบร่างกาย) จึงควรรับประทานอาหารที่มีไวตามินบี เช่น เนื้อ ตับ เซี่ยงจี๊ ไข่ 5ฟอง/อาทิตย์ ผลไม้ ผักใบเขียวและถั่ว ซึ่งเป็นชนิดที่เหมาะกับเลือดกรุ๊ปโอ หรือเสริมด้วย ไวตามิน บี-คอมเพล็กซ์

และระบบย่อยของคนเลือดกรุ๊ปโอ ไม่รับแคลเซียมจากผลิตภัณฑ์นม จึงต้องหาแคลเซียมจากที่อื่นแทนซึ่งนั่นก็ได้แก่ ปลาซาร์ดีน หรือ ปลาแซลมอนกระป๋องทั้งก้าง บร็อคโคลี่ และผักcollard green
สำหรับเด็ก ที่อายุ 2-5 ขวบ และ 9-16 ขวบ รวมทั้งผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนอาจต้องเพิ่มแคลเซียมเสริม 600-1,100 มิลลิกรัม และเพื่อเป็นการป้องกันการอักเสบในส่วนต่างๆของร่างกายด้วย

อาหารอีกชนิดที่คนเลือดกรุ๊ปจะต้องรับประทานคือ อาหารทะเล เพราะอาหารทะเลนั้นจะให้ไอโอดีน เป็นการเพิ่มผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ซึ่งจะช่วยทำให้ควบคุมน้ำหนักของคนเลือดกรุ๊ปนี้ให้คงที่ เพราะถ้าหากไทรอยด์ไม่คงที่จะทำให้อ้วนได้ง่าย

ผลไม้ที่รับประทานกับเลือดกรุ๊ปโอได้จะมีไม่กี่ชนิด เช่น พลับ พรุน และมะเดื่อ ผลไม้จำพวกนี้จะช่วยลดการละคายเคืองในกระเพาะอาหารได้

น้ำผลไม้ที่ดี คือ นำสับปะรด จะช่วยอุ้มน้ำของเซลในร่างกาย หรือน้ำแบลคเชอรี่ จัดว่าเป็นน้ำที่ดีกับเลือดกรุ๊ปโอมาก เพราะเป็น High alkaline juice ทำให้ลดการระคายเคืองของกระเพาะ

ส่วนถ้าเป็นการดื่มชาสมุนไพรนั้นก็มีชาบางชนิดที่เสริมกับกรุ๊ปเลือดได้ดี เช่น Licoria ช่วยในเรื่องของกระเพาะ ,Peppermint,Parsley,Rosehips,Sarsaparilla ช่วยลดความเครียด เป็นต้น


อาหารที่เหมาะกับเธอ
เนื้อสัตว์ : รับประทานเนื้อได้แทบทุกชนิด ยกเว้น หมู ห่าน แฮมและเบคอน อย่าลืมรับประทานอาหารทะเล เช่น ปลาทูและเกลือไอโอดีนมาก ๆ เพื่อช่วยต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนให้คงที่
ผัก : ผักที่ดีต่อสุขภาพของเธอคือ ผักกาดคอส (ในซีซาร์สลัด) ปวยเล้ง บร็อคเคอลี หอมหัวใหญ่ และสาหร่ายทะเล ไม่ควรรับประทานกะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ เพราะไปก่อกวนการทำงานของไทรอยด์ ไม่ควรรับประทานมะเขือยาวและมันฝรั่งมากเกินไป เพราะทำให้เป็นโรคข้ออักเสบได้
ผลไม้ : รับประทานผลไม้ที่มีสีแดงเข้มหรือสีม่วงซึ่งมีความเป็นด่างสูง เช่น ลูกพรุน ลูกพลัม จะช่วยสร้างสมดุลให้ระดับกรดในกระเพาะอาหารได้ หลีกเลี่ยงส้มและเกรปฟรุต เพราะทำให้กระเพาะระคายเคือง
เครื่องดื่ม : เธอควรเลิกดื่มกาแฟตอนเช้า ๆ ได้แล้ว เพราะจะยิ่งไปเพิ่มปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร เคล็ดลับการไดเอท : ระหว่างไดเอทควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกถัว ธัญพืช และขนมปัง ซึ่งจะทำให้น้ำหนักขึ้นง่ายกว่าปกติ
การออกกำลังกาย : เล่นกีฬาที่ออกแรงมาก ๆ เช่น วิ่ง ขี่จักรยาน เต้นแอโรบิก ว่ายน้ำ จะช่วยเธอเผาผลาญแคลอรีได้ดี


กรุ๊ป AB มังสวิรัติ และคาร์โบไฮเดรต


          กรุ๊ปนี้เป็นการผสมผสานระหว่างกรุ๊ปเลือด A กับ B ดังนั้นวิธีการกินที่เหมาะสมกับคนกรุ๊ปนี้เป็นการผสมผสานการกินมังสวิรัติหน่อย ๆ กับการกินแบบกรุ๊ปบี นิด ๆ คนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้มีจุดอ่อนเรื่องสุขภาพอยู่ที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และกรดในกระเพาะต่ำ

อาหารที่เหมาะกับกรุ๊ปเลือด

          ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง และเต้าหู้ สามารถกินเนื้อแกะ กวาง กระต่าย และไก่งวงได้นิดหน่อย ไม่ควรกินปลาเนื้อขาว และแซลมอนรมควัน เพราะย่อยยากและเป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหาร สามารถกิน นม เนย ไข่ และโยเกิร์ตไขมันต่ำได้ จำพวกข้าว ข้าวโอ๊ต ข้าวไรย์มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ควรงดเว้นการกินถั่วแดง งา เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน ข้าวโพด เพราะจะชะลอการทำงานของอินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงเฉียบพลัน ผักสดกินได้แทบทุกชนิด ช่วยป้องกันมะเร็ง และโรคหัวใจ 

          ผลไม้กินได้ดีเป็นบางอย่าง อาทิ องุ่น พลัม ตระกูลเบอร์รี่ สับปะรด ส้มโอ ฯลฯ เพราะช่วยสร้างความสมดุลของกรดในเนื้อเยื่อ ไม่ควรกินกล้วย มะม่วง ฝรั่ง ส้ม


AB เลือดกรุ๊ป เอบี :
เลือดกรุ๊ปเอบีเป็นพวกลูกผสม เธอจึงคล้ายกับกรุ๊ปเอ ตรงที่มีกรดในกระเพาะต่ำ ต้องรับประทานผักมาก ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนกรุ๊ป บี ตรงที่รับประทานเนื้อสัตว์ได้ ยกเว้นไก่แต่ต้องไม่บ่อยนัก ระหว่างไดเอ็ท เธอสามารถรับประทานข้าวและขนมปังได้บ้าง เพราะไม่ส่งผลให้น้ำหนักขึ้นง่ายเหมือนอย่าง กรุ๊ปโอ

อาหารที่เหมาะกับเธอ
เนื้อสัตว์ : ที่เธอรับประทานแล้วดีคือ เนื้อแกะ แพะ กระต่าย ไก่งวง ส่วนอาหารทะเล เช่น ปลาเทราต์ ปลาซาร์ดีน ปลาเก๋า ปลาทูน่า
ผัก : ผักสด เช่น บร็อคเคอลี แตงกวา กระเทียม ดอกกะหล่ำ และผักใบเขียวต่างๆ
ผลไม้ : หลีกเลี่ยงผลไม้เมืองร้อน เช่น มะม่วง กล้วย ฝรั่ง และมะพร้าว เพราะย่อยยาก ผลไม้ตระกูลส้มจะทำให้กระเพาะของเธอระคายเคือง แต่การรับประทานมะนาวกลับช่วยย่อยและล้างระบบลำไส้ได้ แนะนำว่าเธอควรจะเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยการดื่มน้ำอุ่นที่บีบมะนาวสักครึ่งซีก
เครื่องดื่ม : การดื่มไวน์แดงวันละแก้วจะช่วยเธอสร้างภูมิต้านทานโรคหัวใจและโรคมะเร็ง ชาคาโมมายล์และชาเขียวช่วยฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน
เคล็ดลับการไดเอท : ควรรับประทานผักใบเขียว มันฝรั่ง และข้าวโอ๊ต เพราะมีไฟเบอร์สูงและช่วยระบบหมุนเวียนของน้ำตาลในเลือด
การออกกำลังกาย : เธอมักจะเครียดบ่อย ๆ เหมือนกรุ๊ป เอ วิธีแก้คือการออกกำลังกายเบา ๆ ด้วยการเดินช้า ๆ เล่นไทชิ หรือเล่นโยคะ





นางสาวสุมิตรา  หลวงเป็ง เลขที่ 1 (115510503401-2)

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555

จังหวัดเชียงใหม่

ประวัติ


ไฟล์:Seal Chiang Mai.png
ตราประจำจังหวัดเชียงใหม่

เมืองเชียงใหม่ มีชื่อปรากฏในตำนานว่า  "นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่" สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1839 โดยพญามังรายเป็นผู้ทรงสร้าง มีอายุครบ 700 ปี ในปี พ.ศ. 2539


ในอดีตเชียงใหม่มีฐานะเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรนครรัฐอิสระ ชื่อว่า อาณาจักรล้านนา ซึ่งปกครองโดยกษัตริย์ราชวงศ์มังราย ประมาณ 261 ปี (ระหว่าง พ.ศ. 1839-2101) กระทั่งในปี พ.ศ. 2101 เชียงใหม่ได้เสียเมืองให้แก่พระเจ้าบุเรงนองแห่งพม่า และได้อยู่ภายใต้การปกครองของพม่ามานานกว่าสองร้อยปี จนถึงสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงได้มีการทำสงครามเพื่อขับไล่พม่าออกจากเมืองเชียงใหม่และเชียงแสนได้สำเร็จ โดยการนำของเจ้ากาวิละและพระยาจ่าบ้าน

หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเจ้ากาวิละขึ้นเป็นพระเจ้าบรมราชาธิบดีกาวิละ ให้ปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือในฐานะประเทศราชของกรุงรัตนโกสินร์ และราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ (ราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน) ซึ่งเป็นเชื้อสายของพระเจ้าบรมราชาธิบดีกาวิละ ก็ได้ปกครองเมืองเชียงใหม่และหัวเมืองต่าง ๆ สืบต่อมา และเปลี่ยนชื่อเมืองเป็น "รัตนติงสาอภินวบุรีเชียงใหม่"

ในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการปฏิรูปการปกครองหัวเมืองประเทศราช โดยมีการจัดตั้งการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล เรียกว่า "มณฑลพายัพ" ต่อมาเชียงใหม่ได้มีการปรับปรุงการปกครองและยกฐานะขึ้นเป็น "จังหวัด" ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2476 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงปัจจุบัน

สถานที่ท่องเที่ยว


วัดเชียงมั่น

         "วัดเชียงมั่น" อยู่ถนนราชภาคินัย อำเภอเมือง เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดนตัวเมืองเชียงใหม่ เมื่อพญามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. 1839 พระองค์ทรงยกพระตำหนักเชียงมั่น ถวายเป็นพระอารามให้ชื่อว่า วัดเชียงมั่น วัดนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญของเชียงใหม่ คือ พระเสตังคมณี หรือ พระแก้วขาว ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนชาวเชียงใหม่ มีสถาปัตยกรรมสำคัญ ได้แก่ เจดีย์สี่เหลี่ยมผสมทรงกลม ฐานช้างล้อม พระอุโบสถ และหอไตร และที่สำคัญคือ เจดีย์ทรงระฆังฐานสี่เหลี่ยม และมีช้างล้อมที่ฐานหมายความว่าคำจุนพระพุทธศาสนาไว้

พระธาตุดอยคำ
          "วัดพระธาตุดอยคำ"ตั้ง อยู่ที่ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมือง เดินทางไปได้ตามเส้นทางเลียบคลองชลประทาน จะมีป้ายบอกข้ามคลองไปทางตำบลแม่เหียะ จะพบทางขึ้นเขาไปยังพระธาตุดอยคำ ตามประวัติ เมื่อ พ.ศ. 2509 วัดอยคำเป็นวัดร้าง ต่อมากรุแตกชาวบ้านพบโบราณวัตถุหลายชิ้น เช่น พระรอดหลวง พระหินทรายปิดทององค์ใหญ่ พระสามหมอ (เนื้อดิน) ซึ่งนำมาประดิษฐานไว้ ณ วัดพระธาตุดอยคำ พระธาตุดอยคำนอกจากจะเป็นที่สักการะบูชาของคนท้องถิ่นแล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์อีกแห่งหนึ่งของการบินไทยที่ใช้กำหนดพื้นที่ทางสายตา ก่อนที่จะลงจอดที่สนามบินอีกด้วย


ดอยอินทนนท์           "อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์" แต่เดิมดอยอินทนนท์มีชื่อว่า "ดอยหลวง" หรือ "ดอยอ่างกา"ดอยหลวง หมายถึงภูเขาที่มีขนาดใหญ่ ส่วนที่เรียกว่าดอยอ่างกานั้น มีเรื่องเล่าว่า ห่างจากดอยอินทนนท์ไปทางทิศตะวันตก 300 เมตร มีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่งลักษณะเหมือนอ่างน้ำ แต่ก่อนนี้มีฝูงกาไปเล่นน้ำกันมากมาย จึงเรียกว่า "อ่างกา" ต่อมาจึงรวมเรียกว่า "ดอยอ่างกา" 

         อย่างไรก็ตาม ดอยอินทนนท์นี้เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัยซึ่งพาดผ่านจากประเทศเนปาล ภูฐาน พม่า และมาสิ้นสุดที่นี่ สิ่งที่น่าสนใจของดอยนี้ไม่เพียงแต่เป็นยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศ ด้วยความสูง 2,565 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลางเท่านั้น แต่สภาพภูมิประเทศและสภาพป่าที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นป่าดงดิบ ป่าสน ป่าเบญจพรรณ และอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในฤดูหนาวจะมีหมอกปกคลุมเกือบทั้งวัน และบางครั้งน้ำค้างยังกลายเป็นน้ำค้างแข็ง สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้มีผู้มาเยือนที่นี่อย่างไม่ขาดสาย


ห้วยน้ำดัง          "อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง" ตั้งอยู่บนเทือกเขาถนนธงชัย มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอปายจังหวัดแม่ฮ่องสอน รวมเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 179.5 ตารางกิโลเมตร หรือ 112,187.5 ไร่ ลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขาและภูเขาสูงสลับซับซ้อน ภูเขาที่สูงที่สุด คือ ดอยช้าง เป็นป่าต้นน้ำลำธาร มีลำห้วยน้อยใหญ่มากมาย ฤดูหนาวอากาศเย็น ลมแรง มีฝนตกชุกในเดือนพฤษภาคม - ตุลาคม ฤดูร้อนอากาศเย็นสบาย อุณหภูมิสูงสุดประมาณ 34 องศาเซลเซียส 


ดอยอ่างขาง          "ดอยอ่างขาง" ตั้งอยู่ที่ตำบลอ่างขาง อำเภอฝาง ห่างจากเขตแดนไทยพม่าเพียง 5 กิโลเมตร การเดินทางไปตามทางหลวงหมายเลข 107 สายเชียงใหม่ - ฝาง ประมาณกิโลเมตรที่ 137 จะมีทางแยกซ้ายมือเข้าบ้านยางที่ตลาดแม่ข่า เข้าไปอีกประมาณ 25 กิโลเมตร เป็นทางลาดยาง สูงและคดเคี้ยว ต้องใช้รถสภาพดีและมีกำลังสูง คนขับชำนาญ หรือจะหาเช่ารถสองแถวได้ที่ตลาดแม่ข่า ทั้งนี้ "อ่างขาง" เป็นภาษาเหนือ หมายถึง อ่างสี่เหลี่ยม ซึ่งได้ชื่อมาจากลักษณะพื้นที่เป็นแอ่งกระทะ ล้อมรอบด้วยภูเขาสูง อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,400 เมตร ทำให้อากาศบนดอยหนาวเย็นตลอดปี โดยเฉพาะในช่วงเดือนธันวาคม - มกราคม อากาศเย็นจนน้ำค้างกลายเป็นน้ำค้างแข็ง นักท่องเที่ยวจึงควรเตรียมเครื่องกันหนาวมาให้พร้อม เช่น หมวก ถุงมือ ถุงเท้า เสื้อกันหนาว

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สัมผัสหนาวที่ . . . ดอยอ่างขาง

ถนนคนเดินเชียงใหม่

          ขาช้อปพลาดไม่ได้เด็ดขาดที่ "ถนนคนเดินเชียงใหม่" ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมือง ถนนคนเดินจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ "ถนนวัวลาย" และวันอาทิตย์ที่ "ถนนท่าแพ" โดย "ถนนคนเดินท่าแพ" อยู่บริเวณประตูเมืองท่าแพต่อไปยังถนนราชดำเนิน เปิดเฉพาะวันอาทิตย์ เวลาประมาณ 17.00 - 22.00 น. เป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าขนาดใหญ่ มีสินค้าให้เลือกสรรมากมายหลากหลายประเภท ทั้งสินค้าทางวัฒนธรรม เช่น สินค้าพื้นเมือง จำพวกเครื่องประดับตกแต่ง เสื้อผ้า ของที่ระลึก กระเป๋า ผ้าพันคอ โคมไฟ ฯลฯ หรือจะเป็นสินค้าแฟชั่นก็มีให้เห็นอยู่โดยทั่วไป รวมทั้งของกิน เช่น ขนมจีนน้ำเงี้ยว/น้ำยา ของทานเล่น โรตี ฯลฯ หากมาเยือนในช่วงอากาศหนาว ๆ เดินเที่ยวยามค่ำคืนที่ถนนคนเดินเชียงใหม่ก็เพลิดเพลินไปอีกแบบ ซึ่งที่นี่เป็นถนนคนเดินที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ และได้รับความสนใจอย่างมากจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ   

          ส่วน "ถนนคนเดินวัวลาย" อยู่ที่ถนนวัวลาย ใกล้กับประตูเมืองเชียงใหม่ เปิดเฉพาะวันเสาร์ เวลาประมาณ 17.00 - 22.00 น. พ่อค้าแม่ค้าเป็นคนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในบริเวณถนนวัวลายเป็นส่วนใหญ่ จึงมีขนาดเล็กกว่าถนนคนเดินท่าแพ เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านทำเครื่องเงิน ซึ่งทั้งผลิตและจำหน่ายสินค้าจำพวกเครื่องเงิน นอกจากนี้ ยังมีสินค้าพื้นเมืองมากมายให้เลือกสรร

การเดินทาง
      
          รถยนต์

          จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) แยกเข้าทางหลวงหมายเลข 32 (สายเอเซีย) ผ่านอยุธยา อ่างทอง นครสวรรค์ หลังจากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 117 ไปยังพิษณุโลก ต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 11 ผ่านลำปาง ลำพูน ถึงเชียงใหม่ ระยะทางประมาณ 695 กิโลเมตร อีกทางหนึ่งคือจากนครสวรรค์ ไปตามทางหลวงหมายเลข 1 ผ่านกำแพงเพชร ตาก และลำปาง ถึงเชียงใหม่ ระยะทางประมาณ 696 กิโลเมตร

          รถไฟ

          มีรถด่วน และรถเร็ว ออกจากสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) ทุกวัน สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่หน่วยบริการเดินทาง การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร. 0-2223-7010, 0-2223-7020,1690 สถานีรถไฟเชียงใหม่ โทร. 0-5324-2094

           รถโดยสารประจำทาง

          มีรถประจำทางปรับอากาศสายกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ ออกจากสถานีขนส่งสายเหนือ (หมอชิต 2) ถนนกำแพงเพชร 2 ทุกวันๆ ละหลายเที่ยว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง สอบถามรายละเอียดได้ที่ บริษัท ขนส่ง จำกัด โทร. 0-2936-2852 - 66 และที่เชียงใหม่ โทร. 0-5324-1449, 0-5324-2664

           เครื่องบิน

          มีบริการเที่ยวบินกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและรายละเอียดเที่ยวบิน ได้ที่สายการบินที่ท่านต้องการใช้บริการได้เลยค่ะ