วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เรื่องจริงที่ผู้หญิงเถียงไม่ออก

เรื่องจริงที่ผู้หญิงเถียงไม่ออก

women


1. ผู้หญิงชอบให้คนมาจีบ แต่ไม่ได้ชอบทุกคนที่เข้ามาจีบ
2. ผู้หญิงเกิดมาคู่กับครีมทาผิว และโฆษณาครีมทาผิวทุกตัวได้ผลเสมอ

3. ผู้หญิงไม่เคยเหน็ดเหนื่อยจากการเดินชอปปิ้ง และหากนับก้าวระหว่างที่เธอเดิน คุณคงไม่เชื่อในระยะทางที่วัดได้

4. เวลาที่ผู้หญิงบอกว่าไม่มีอะไร แปลว่ามีอะไร และผู้ชายไม่รู้หรอก

 

5. เวลาผู้หญิงร้องไห้ เธอจะต้องการการปลอบโยน แต่ถ้าไปถาม เธอจะบอกว่า "ไม่ต้อง"

6. ผู้หญิง สนใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นลายของกระเป๋าหรือตุ้มหู อย่าถามความเห็นของคุณผู้ชายเลยเพราะเขามองไม่ออกจริงๆ

7. ผู้หญิงใช้ลิปสติกไม่เคยหมดแท่ง

จริงๆ มีอีกหลายข้อ แต่ 7 ข้อก็โดนเกือบหมด

วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

อาการปวดท้อง โรคฮิตของโลก


อาการปวดท้อง เป็นหนึ่งในอาการยอดฮิตที่หลาย ๆ คนเป็น บางคนปวดท้องอยู่เป็นประจำ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะมักคิดว่า อาการปวดท้อง เป็นแล้วเดี๋ยวก็คงจะหายไปเอง แต่รู้ไหมว่า อาการปวดท้องบางอย่าง ก็เป็นสัญญาณเตือนภัยที่ร่างกายกำลังบอกคุณว่า ควรจะไปพบแพทย์ได้แล้ว เช่นนั้นแล้ว มาดูกันดีกว่าว่า อาการปวดท้องบอกโรคอะไรได้บ้าง แล้วคุณควรจะไปพบแพทย์เมื่อไหร่


สาเหตุของอาการปวดท้อง

          ปวดท้องเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาการอาจเป็นแค่ปวดเล็กน้อย หรือปวดมากและรุนแรงมากได้ อาการปวดมักจะไม่จำเพาะเจาะจง อวัยวะในช่องท้องอาจมีหลายอย่าง อาการปวดท้องอาจสัมพันธ์กับอวัยวะโดยตรง เช่น กระเพาะปัสสาวะ รังไข่ โดยทั่วไปอาการปวดท้องเกิดจากอวัยวะในระบบทางเดินอาหาร ยกตัวอย่างเช่น ไส้ติ่งอักเสบ ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ เป็นต้น ลักษณะของอาการปวดท้องและตำแหน่งที่ปวด สามารถช่วยในการวินิจฉัยได้ เช่นเดียวกับความรุนแรงของอาการปวดท้อง และช่วงเวลาที่เกิดอาการปวดท้อง


ลักษณะอาการปวดท้อง

          อาจมีลักษณะปวดเสียด ปวดตื้อ ๆ ปวดบิด บางครั้งปวดไม่กี่วินาทีแล้วก็หายปวด หรือปวดท้องชนิดไม่หายสักที บางครั้งปวดท้องแล้วอาเจียน หลังจากได้อาเจียนอาจรู้สึกดีขึ้นบ้าง

          สาเหตุที่ทำให้ปวดท้อง อาจแบ่งเป็นชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรัง โรคที่คนส่วนใหญ่กลัว ได้แก่ ไส้ติ่งอักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบ โรคแผลในกระเพาะอาหาร ภาวะการติดเชื้อ และอาการที่เกิดจากการตั้งครรภ์


โรคบางอย่างที่อาจต้องคำนึงถึงด้วย

          ได้แก่ โรคของหลอดเลือดขนาดใหญ่ในช่องท้อง อาการหัวใจวายเฉียบพลันและตับอักเสบ นิ่วในไต รวมทั้งโรคของลำไส้บางชนิด อาการปวดท้องอาจจะไม่ได้เกิดจากอวัยวะในช่องท้องเท่านั้น โรคหัวใจและปอดอักเสบอาจก่อให้เกิดอาการปวดท้องที่รุนแรงได้เช่นกัน ในเพศหญิงต้องนึกถึงสาเหตุจากอวัยวะในอุ้งเชิงกรานด้วย ผู้ป่วยที่เป็นโรคงูสวัดที่บริเวณท้องจะมีอาการปวดท้องที่รุนแรง โดยที่อวัยวะภายในไม่ได้มีความผิดปกติแต่อย่างใด และประสบการณ์สุดท้ายอาการเป็นพิษบางอย่างทำให้เกิดอาการปวดท้องได้ เช่น แมลงกัด สัตว์ต่อย

          โดยเฉลี่ยแล้วประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้อง จะตรวจพบสาเหตุที่ชัดเจน ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งที่มักจะตรวจไม่พบสาเหตุ และอาการอาจทุเลาน้อยลงไป โดยยังไม่ทราบแน่ชัดว่าปวดท้องจากสาเหตุอะไร แต่ถ้ายังคงมีอาการปวดท้องอยู่ ส่วนใหญ่จะพบสาเหตุในเวลาอีกไม่นานต่อมา


อาการปวดท้องที่ควรไปพบแพทย์

           1.ปวดนานมากกว่า 6 ชั่วโมงแล้วอาการเป็นมากขึ้น

           2.ปวดจนทานอาหารไม่ได้

           3.ปวดท้องและอาเจียนอย่างมาก มากกว่า 3-4 ครั้ง

           4.อาการปวดท้องเป็นมากขึ้นเมื่อขยับตัว

           5.ปวดท้องที่บริเวณท้องน้อยด้านขวา

           6.อาการปวดท้องรุนแรงจนทำให้นอนไม่ได้

           7.อาการปวดร่วมกับเลือดออกจากช่องคลอด

           8.มีไข้ร่วมด้วย


คำแนะนำสำหรับการปฏิบัติตัวของผู้ปวดท้อง

           1.รับประทานยาตามแพทย์สั่ง

           2.รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย งดนม อาหารรสจัด น้ำผลไม้

           3.ถ้ายังมีอาการต่อไปนี้ คือ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องน้อยด้านขวามากขึ้น หลังทานยาแก้ปวดไปแล้ว 2 ชม. ให้รีบกลับมาพบแพทย์ทันที

           4.โปรดกลับไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจตามที่แพทย์นัด

เราสามารถแบ่งบริเวณที่ปวดท้องได้เป็น 9 ส่วน คือ 

 1. ชายโครงขวา คือ ตับและถุงน้ำดี อาการที่พบมักจะกดแล้วเจอก้อนแข็งร่วมกับอาการตัวเหล ือง ตาเหลือง ซึ่งสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่า อาจเป็นโรคเกี่ยวกับตับหรือถุงน้ำดี เช่น ตับอักเสบ ฝีในตับ ถุงน้ำดีอักเสบ 

 2. ใต้ลิ้นปี่ คือ กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ตับ และกระดูกลิ้นปี่ 
- ปวดเป็นประจำเวลาหิวหรืออิ่ม อาจเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะ 
- ปวดรุนแรงร่วมกับคลื่นไส้อาเจียน อาจเป็นโรคตับอ่อนอักเสบ 
- คลำเจอก้อนเนื้อค่อนข้างแข็งและมีขนาดใหญ่ อาจหมายถึงตับโต - คลำได้ก้อนสามเหลี่ยมแบนเล็กๆ มักเป็นกระดูกลิ้นปี่ 

 3. ชายโครงขวา คือ ม้าม ซึ่งมักจะคลำเจอก้อนเนื้อบริเวณนี้ 

 4. บั้นเอวขวา คือท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่ 
- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติหรือถ่ายเป็นเลือด อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ 
- ปวดร้าวถึงต้นขา อาจเป็นนิ่วในท่อไต 
- ปวดร่วมกับปวดหลัง มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น อาจเป็นกรวยไตอักเสบ 
- คลำเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นไตโตผิดปกติหรือเนื้องอกในลำไส้ใหญ่ 

 5. รอบสะดือ คือ ลำไส้เล็ก มักพบในโรคท้องเดินหรือไส้ติ่งอักเสบ (ก่อนจะย้ายมาปวดท้องน้อยขวา) แต่ถ้าปวดแบบมีลมในท้อง ก็อาจเป็นเพราะกระเพาะลำไส้ทำงานผิดปกติ 

 6. บั้นเอวซ้าย คือ ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่ (เหมือนข้อ 4) 

 7. ท้องน้อยขวา คือ ไส้ติ่ง ท่อไต และปีกมดลูก 
- ปวดเกร็งเป็นระยะ ร้าวมาที่ต้นขา อาจเป็นเพราะมีก้อนนิ่วในกรวยไต 
- ปวดเสียดตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมาก มักเป็นไส้ติ่งอักเสบ 
- ปวดร่วมกับมีไข้สูง หนาวสั่น มีตกขาว มักเป็นเพราะปีกมดลูกอักเสบ 
- คลำแล้วเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นก้อนไส้ติ่งหรือรังไข่ผิดปกติ 

 8. ท้องน้อย คือ กระเพาะปัสสาวะและมดลูก 
- ปวดเวลาถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายกระปริบกระปรอย มักเป็นเพราะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ 
- ปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน เป็นอาการปวดประจำเดือน แต่ในรายที่ปวดเรื้อรังในหญิงแต่งงานแล้วไม่มีบุตร อาจเป็นเนื้องอกในมดลูก 

 9. ท้องน้อยซ้าย คือ ปีกมดลูกและท่อไต 
- ปวดเกร็งเป็นระยะและร้าวมาที่ต้นขา มักเป็นนิ่วในท่อไต 
- ปวดร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น ตกขาว เป็นเพราะมดลูกอักเสบ 
- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติ อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ 
- คลำพบก้อนร่วมกับอาการท้องผูกเป็นประจำ อาจเป็นเนื้องอกในลำไส้ 

วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556

วิธีบำบัดอาการปวดหัวแบบธรรมชาติ


อาการปวดหัวนั้น ไม่จำเป็น ที่คุณต้องพึ่งยาเสมอไป ลองมาบำบัดด้วยวิธีธรรมชาติดูก่อน ดีไหม



1. บำบัดด้วยน้ำ วางถุงน้ำแข็งบนหน้าผาก หรือจะใช้ผ้าเย็นๆ โพกศีรษะก็ได้ ทำไปพร้อมกับการแช่เท้าในน้ำอุ่น ค่อยๆเพิ่มความร้อนของ น้ำขึ้น ใช้เวลา15-20 นาที อาการปวดหัวจะทุเลาลง

2. งดอาหาร อาหารแสลงบางชนิด เช่น เนื้อรมควัน ชอคโกแล็ค ผงชูรส ไส้กรอก เบคอน และ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน มักเป็นสาเหตุ ให้เกิดอาการปวดหัวได้

3. ใช้วิตามิน การขาดวิตามิน B- COMPLEX อาจทำให้เกิดอาการปวดหัวได้ ลองมองหาอาหารที่มี วิตามินบีมากๆ เช่น ผักโขม กะหล่ำปลี ข้าวซ้อมมือ และอาหารธัญพืชต่างๆ

4. ขิง มีงานวิจัยพบว่า ขิงมีคุณสมบัติในการแก้ไมเกรน หากมีอาการปวดหัวในช่วงบ่ายๆ ลองจิบน้ำขิงอุ่นๆ สักแก้ว ถ้าไม่สะดวก จะต้มเอง ขิงผงบรรจุซองก็สะดวกดี

5. น้ำมันหอม น้ำมันหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ มีคุณสมบัติในการลดความกระวนกระวายใจได้ ลองนำมานวดบริเวณขมับ ไรผม และต้นคอ จะ ช่วยผ่อนคลายได้

6. นวด การนวดจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด จะทำให้รู้สึก ผ่อนคลายได้ หาใครสักคนมาคอยนวดที่ต้นคอและช่วงไหล่

7. ไปเดินเล่นสักห้านาที การเดินเล่นจะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดฟินส์ ซึ่งเป็นยาแก้ปวดขนานเอ
8. ดนตรีบำบัด ถ้าคุณปวดหัวจากความเครียด ในทางการแพทย์ค้นพบว่า ดนตรี ช่วยบำบัด อาการได้ โดยเฉพาะดนตรีทีมีท่วงทำนองเรียบง่าย ฟังสบายๆ อาจมีสรรพเสียง ของธรรมชาติ เช่น เสียงนกร้อง เกลียวคลื่น เสียงนก หรือลมฝน จะช่วยกล่อมจิตใจให้สงบนิ่งขึ้น ช่วยลดความตึงเครียดได้ เป็นวิธีแก้อาการปวดหัว แบบธรรมชาติกันจริงๆ ใครชอบ แบบไหนก็ลองทำดูนะ รับรองว่าไม่มีผลข้างเคียงใดๆ แต่ถ้าทำ ทุกวิธีแล้วยังไม่หาย ก็ถึงเวลาที่คุณควรไปพบแพทย์แล้วล่ะค่ะ
รูปสวย น่ารัก glitter emoticon www.yenta4.com
ปวดหัวจากความเครียด มีอาการปวดบริเวณรอบศีรษะ รู้สึกมึนๆ เหมือนสมองถูกบีบ มักเกิดจากความเครียด หรืออาการอ่อนเพลีย การพักผ่อนให้เพียงพอ หรือนวดบริเวณต้นคอและขมับจะช่วย บรรเทาอาการปวดหัวชนิดนี้ได้ หรือจะใช้วิธี การฝึกหายใจเข้าออกช้าๆ และหายใจลึกๆ และสำหรับการทำงานที่ติดต่อกันหลายชั่วโมง ก็ควรจะหยุดพักเป็นระยะๆ รวมทั้งออกกำลังกาย เป็นประจำ จะช่วยป้องกันการเกิดอาการ ปวดหัวชนิดนี้ได้

ปวดหัวจากแอลกฮอล์ มักมีอาการปวดบริเวณเบ้าตา ,ถ้าคืนไหนคุณดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากเกินไป ก่อนเข้านอนควรจะดื่มน้ำตามมากๆด้วย เนื่องจากน้ำจะช่วยต้านฤทธิ์ของแอลกฮอล์ได้ ส่วนรุ่งเช้าควรดื่มน้ำหรือน้ำผลไม้ จะช่วย บรรเทาอาการปวดหัวจากเมาค้างได้
 ปวดหัวจากไซนัส จะมีอาการปวดบริเวณดั้งจมูกและเบ้าตา วิธีการบรรเทาอาการปวดหัวแบบนี้ ต้องพึ่ง ยาลดน้ำมูก เพื่อให้จมูกโล่งหรืออาจจะใช้วิธี ประคบด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น การจิบเครื่องดื่มอุ่นๆ ก็ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น แต่ถ้าคุณมีไข้ ควรจะหา หมอด้วยนะ
 ปวดหัวจากคาเฟอีน จะมีอาการปวดตุ๊บๆบริเวณด้านบนของศีรษะ อาการส่วนใหญ่จะคล้ายๆกับปวดหัวที่เกิดจาก ความเครียด ถ้าคุณปวดหัวแบบนี้ การพักผ่อน ให้เต็มอิ่ม จะช่วยได้ดีทีเดียว การหลีกเลี่ยง เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน และการนอนเป็นเวลา จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการปวดหัวชนิดนี้ได้ แต่ถ้าคุณติดกาแฟ
ก็ควรจะดื่มให้เป็นเวลา (เวลาเดียวกันทุกวัน) และดื่มเพียงวันละ 1-2 แก้ว จะดีกว่า
ปวดแบบไมเกรน จะมีอาการปวดตุ๊บๆ บริเวณศีรษะข้างใดข้างหนึ่ง บางคนอาจจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดไมเกรนนั้น เชื่อว่า เกิดจากระดับฮอร์โมนผิดปกติ อาหารบางชนิด อาจทำให้บางคนเกิดอาการไมเกรนกำเริบ มากขึ้นได้ เช่น ไวน์แดง เนื้อสัตว์แปรรูป ผงชูรส การเปลี่ยนแปลงของอากาศ เช่นร้อนอบอ้าวเกินไป ความหิว ความตื่นเต้น การเดินทางหลายๆแห่ง ในช่วงเวลาสั้นๆ อาจทำให้เกิดไมเกรนได้ คนที่เป็นไมเกรนบ่อยๆ จึงควรหมั่นสังเกตว่าเกิด จากปัจจัยอะไรจะได้หลีกเลี่ยงได้ การเข้านอน เป็นเวลา และหลับให้เต็มตา จะช่วยผ่อนคลาย อาการไมเกรนได้ ส่วนเซ็กส์ที่สุขสมนั้น มีงาน วิจัยยืนยันว่า เป็นยาขนานเอกในการบำบัดอาการ ไมเกรนกันทีเดียว
รูปสวย น่ารัก glitter emoticon www.yenta4.com
คนที่มีอาการปวดหัวเรื้อรัง ปวดหัวบ่อยๆ นักวิจัยเขาแนะนำว่า ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสาร Tyramines และ Nitrite เพราะบางคน อาจจะมีความไวต่อสารสองชนิดนี้ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ของหลอดเลือดและระบบประสาท ทำให้เกิดอาการปวดหัวได้

ช็อกโกแลต ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยที่เป็นไมเกรน จะมีอาการ กำเริบขึ้นทุกครั้งที่กินช็อกโกแลต คนที่ชื่นชอบช็อกโกแลต อย่า เพิ่งเศร้าใจนะคะ เพราะนักวิจัยเขาบอกต่ออีกว่า ช็อกโกแลต ชนิดขาวกินได้ไม่ทำให้ปวดหัวหรอก

ไวน์แดง ผลการวิจัยพบว่า คนที่ดื่มไวน์แดง จะเกิดอาการปวดหัว อย่างรุนแรง บางรายมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้ เมื่อเทียบกับคน ที่ดื่มวอดก้ามะนาว ซึ่งไม่เกิดอาการดังกล่าว ผู้ที่มีอาการไมเกรน เรื้อรัง
ควรหลีกเลี่ยงไวน์แดงจะดีกว่า

กุนเชียง เนื้อแดดเดียว เป็นอาหารที่ผ่านกรรมวิธีทำให้มีสีแดง โดยเติมดินประสิวลงไป ซึ่งก็คือสาร Nitrite ที่ช่วยกระตุ้นให้เกิด การปวดหัวได้

ลูกชิ้นเด้งทั้งหลาย ผู้ผลิตบางรายจะใส่สารบอแร็กซ์ ซึ่งเป็น สารอันตราย ทำให้บางคนเกิดอาการปวดหัว คลื่นไส้ และอาเจียนได้ สารให้ความหวานแทนน้ำตาล สำหรับคนที่มีอาการปวดหัว เรื้อรัง ควรหลีกเลี่ยง เพราะผลการวิจัยระบุว่า ผู้ป่วยไมเกรนจะมี อาการกำเริบขึ้นเมื่อกินสารชนิดนี้เข้าไป แม้อาการปวดหัวอาจจะไม่ได้เกิดจากอาหารเหล่านี้โดยตรง แต่สำหรับคนที่เป็นโรคปวดหัวเรื้อรัง
ควรหลีกเลี่ยงจะดีกว่า





วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

วิธีลดพุงแบบ ..ด่วน!! จี๋.....


ถ้าคุณรู้สึกอึดอัดหน้าท้อง จนแทบจะใส่ยีนส์ตัวโปรดของคุณไม่ได้ นี่เป็นเทคนิคเล็ก ๆ ที่ช่วยคุณลดหน้าท้องแบบเร่งด่วน


1. ขยับเขยื้อนตัวให้บ่อยที่สุด อย่ามัวนั่งจุ้มปุ้กอยู่บนโซฟาหรือนอนแกร่วบนเตียง เพราะจะทำให้คุณอึดอัดมากขึ้น การขยับตัว เดินไปเดินมาในบ้านหรือเดินขึ้นลงบันได จะช่วยเผาผลาญไขมันได้มากขึ้น

2. ดื่มชา ค่อย ๆ จิบชา ก็พอช่วยได้ เพราะในชา มีสารที่มีคุณสมบัติในการขับน้ำส่วนเกินออกมาจึงช่วยทำให้กระเพาะหดตัวลง

3. งดอาหารเค็มหรืออาหารที่มีเกลือ เกลือทำให้หน้าท้องคุณป่องได้ เพราะความเค็มของเกลือจะเป็นตัวกักเก็บน้ำส่วนเกินไว้ จึง ทำให้รู้สึกอึดอัดแถวๆหน้าท้อง

4.ทานอาหารมื้อเล็ก ๆ แบ่งอาหาร 1 มื้อ เป็น 2 มื้อ และเน้นอาหารแคลอรี่ต่ำ เช่น โยเกิร์ตพร่องไขมัน ผักสด หรือผลไม้ อาจทานทุก 2-3 ชั่วโมง แต่เป็นจานเล็ก ๆ แทน

วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2556

5 สุดยอดของว่าง "อาหารหัวใจ"

กินไม่เลือกระวังจะสร้างไขมันมาอุดหัวใจ ไปดูกันดีกว่าว่าของว่างอร่อยๆ ช่วยบำรุงหัวใจมีอะไรบ้าง???


แอปเปิ้ล

เป็นความจริงที่ว่าการกินแอปเปิ้ลวันละผลจะช่วยให้คุณห่างไกลจากโรงพยาบาล ในการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ แอปเปิ้ลเป็นอันดับสองของผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงสุด(รองลงมาจากแครนเบอร์รี่) และยังมีใยอาหารชื่อเพคติน ควรทำปฏิกริยากับไฟโตนิวเทรียนท์อื่นๆ โดย สารต้านอนุมูลอิสรนะชื่อ Quercetin พบในแอปเปิ้ลจะช่วยป้องกันอนุมูลอิสระที่เป็นบ่อเกิดของโรคหลอดเลือดหัวใจและ ภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว ในขณะที่เพคตินช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล เลวแอปเปิ้ลยังมีคุณสมบัติต้านอาการอักเสบอีกด้วย

Tip : แอปเปิ้ลทุกชนิดดีต่อหัวใจของคุณ แต่แอปเปิ้ลแดงจะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงสุ

บลูเบอร์รี่
เบอร์รี่ชนิดนี้เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (โดยเฉพาะแมงกานีส วิตามินซีและอี) ซึ่งให้การป้องกันในระดับเซลล์เลยทีเดียว นอกจากการช่วยลดคอเลสเตอรอล “เลว” พร้อมกับการเพิ่มคอเลสเตอรอล “ดี” แล้ว ไฟโตนิวเทรียนท์ยังจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ แถมยังช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตให้ปกติอีกด้วย
Tip : บลูเบอร์รี่ที่ปลูกแบบออร์แกนิกมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงสุด หากเป็นไปได้กินทุกวันก็ยิ่งดี ส่วนบลูเบอร์รี่แช่แข็งนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระน้อยลงมา
ดาร์กช็อกโกแลต
การศึกษาตีพิมพ์ในวารสาร British Medical Journal ชี้ว่า มีอาหารเจ็ดกลุ่มที่จะช่วยลดการเกิดโรคหัวใจได้ถึงร้อยละ 75 และหนึ่งในนั้นก็คือดาร์กช็อกโกแลต ซึ่งมีปริมาณโกโก้อยู่สูง โกโก้มีสารจำพวกฟลาวานอลที่ช่วยป้องกันการอุดตันของเส้นเลือดแดงได้ จึงช่วยลดโอกาสเกิดหัวใจวายและเส้นเลือดในสมองแตก นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าดาร์กช็อกโกแลตช่วยลดความดันโลหิตได้อีกด้วย
Tip : กินแค่น้อยๆ ประมาณไม่เกิน 2 ตารางนิ้วต่อครั้ง และเลือกที่มีปริมาณโกโก้เกิน 70%

องุ่น
องุ่นมีสารอาหารปกป้องหัวใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิตามินซี บี6 โพแทสเซียม และฟลาวานอยด์ สารอาหารเหล่านี้รวมกันจะช่วยควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติ ลดระดับคอเลสเตอรอล ช่วยในการสูบฉีดเลือด โดยเฉพาะวิตามินบี6 ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอาการอักเสบ ลดโอกาสเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวและความดันโลหิต
Tip:  ไม่ว่าจะองุ่นสดหรือองุ่นแช่แข็งก็มีสารอาหารเต็มเปี่ยมเหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้กินเมล็ดด้วยนะ

อัลมอนด์
อัลมอนด์มีสารอาหารที่ดีต่อหัวใจมากมายได้แก่ ใยอาหาร วิตามินอี โพแทสเซียม และแมกนีเซียม โดยแมกนีเซียมนั้นจะช่วยให้ระดับความดันโลหิตเป็นปกติ ส่วนโพแทสเซียมสำคัญต่อการสูบฉีดเลือด นอกจากนี้ อัลมอนด์ยังเต็มไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวซึ่งเป็นไขมันที่ดี ในการศึกษามากมายชี้ว่าไขมันชนิดนี้ช่วยลดโอกาสเกิดโรคหัวใจได้
Tip: โรยอัลมอนด์กินกับแอปเปิ้ลคู่กับเนยถั่วแบบไม่หวาน ทั้งท้องอิ่มและดีต่อหัวใจด้วยนะ




วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556

รวมความตายพิศดาร

รวมความตายพิศดาร มีงี้ด้วยเหรอ?


เว็บไซด์ Arty Swag ได้รวบรวมสาเหตุการตายด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเอาไว้มากมาย บางคนอาจคิดว่าคนเราก็อาจจะตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ หรือ อุบัติเหตุใหญ่ๆเท่านั้น แต่หารู้ไหมว่า เรื่องเล็กๆที่มนุษย์เรามองข้ามก็ทำเราตายแบบชนิดที่คาดไม่ถึง บางคนอาจเหวอทั้งๆที่ตายไปแล้วก็ได้ ว่าเอ๊ะ! กรูตายด้วยเรื่องแบบนี้หรอเนี่ย?

รวมความตายพิศดาร มีงี้ด้วยเหรอ?  รูปที่ 1
1. แมงกะพรุนไฟกัดและแพ้พิษจนเสียชีวิต 40 คนต่อปี 
รวมความตายพิศดาร มีงี้ด้วยเหรอ?  รูปที่ 2
2. อุบติเหตุจากรถไฟเหาะตีลังกา 6 คนต่อปี 
รวมความตายพิศดาร มีงี้ด้วยเหรอ?  รูปที่ 3
3. เครื่องจำหน่ายสินค้าล้มทับ 13 คนต่อปี (ส่วนใหญ่เป็นเด็ก)

รวมความตายพิศดาร มีงี้ด้วยเหรอ?  รูปที่ 4
4. กวางวิ่งตัดหน้ารถ 130 คนต่อปี ซึ่งบางประเทศจะมีป้ายระวังกวางข้ามถนนเตือนไว้เลย 

รวมความตายพิศดาร มีงี้ด้วยเหรอ?  รูปที่ 5
5. อเมริกันฟุตบอล 20 คนต่อปี อย่างที่รู้ๆกันว่ากีฬาประเภทนี้เล่นกันรุนแรงแค่ไหน 
รวมความตายพิศดาร มีงี้ด้วยเหรอ?  รูปที่ 6
6. เสียชีวิตเพราะมด 30 คนต่อปี (สงสัยว่ามดมันทำอะไรเราจนตาย...กัดแล้วแพ้พิษหรือเปล่า?) 
รวมความตายพิศดาร มีงี้ด้วยเหรอ?  รูปที่ 7
7. แท่งน้ำแข็งจากหิมะ 100 คนต่อปี (เฉพาะในรัสเซีย)
รวมความตายพิศดาร มีงี้ด้วยเหรอ?  รูปที่ 8
8. พายุทอร์นาโด 60 คนต่อปี (อย่างที่รู้ๆกันถึงความรุนแรงของพายุที่กวาดเอาทุกอย่างที่ขวางหน้า)

รวมความตายพิศดาร มีงี้ด้วยเหรอ?  รูปที่ 9
9. ไส้กรอก ทำเด็กเสียชีวิต 70 คนต่อปี (อาจเป็นเพราะติดคอตาย) 

รวมความตายพิศดาร มีงี้ด้วยเหรอ?  รูปที่ 10
10. ช๊อปปิ้งจนตายในวันแบล๊ค ฟรายเดย์ 550 คนต่อปี 
(แบล๊ค ฟรายเดย์ เป็นวันที่ห้างสรรพสินค้าจะลดราคาสินค้าชนิดที่ให้ฟรีก็คงไม่แปลกใจสักเท่าไหร่
จึงไม่แปลกที่จะมีคนแห่กันไปจนล้นห้างและเหยียบกันตาย)
รวมความตายพิศดาร มีงี้ด้วยเหรอ?  รูปที่ 11
11. ตกเตียงตาย 450 คนต่อปีในอเมริกา อาจจะเป็นเพราะเตียงของฝรั่งมักสูงกว่าเตียงคนไทยมาก
รวมความตายพิศดาร มีงี้ด้วยเหรอ?  รูปที่ 12
12. ตายในอ่างอาบน้ำ 340 คนต่อปี บ่อยครั้งที่มีคนตายในอ่างอาบน้ำ อาจจะเป็นเพราะเมาหรือกินยานอนหลับ หรือเป็นลมแล้วจมน้ำในอ่างเสียชีวิต หนึ่งในนั้นได้แก่ วิทนีย์ ฮูสตัน นักร้องดังผู้ล่วงลับ
รวมความตายพิศดาร มีงี้ด้วยเหรอ?  รูปที่ 13
13. ออโต้อีโรติค 600 คนต่อปี เป็นการทำให้ร่างกายขาดอากาศหายใจเพื่อกระตุ้นอารมณ์ทางเพศแต่ผิดพลาดจนเสียชีวิตหนึ่งในนั้นได้แก่ เดวิด คาราดีน ที่มาเสียชีวิตในเมืองไทยด้วยสาเหตุนี้ 

รวมความตายพิศดาร มีงี้ด้วยเหรอ?  รูปที่ 14
14. ฟ้าผ่า 10000 คนต่อปี (คงไม่ต้องอธิบายเพิ่ม) 
รวมความตายพิศดาร มีงี้ด้วยเหรอ?  รูปที่ 15
15. โรคอ้วน อ้วนจนตาย! 30000 คนต่อปี
โรคอ้วนเป็นสาเหตุของโรคร้ายแรงอีกสารพัด เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ เป็นต้น
รวมความตายพิศดาร มีงี้ด้วยเหรอ?  รูปที่ 16
16. ใช้โทรศัพท์มือถือ จนเกิดอุบติเหตุทางรถยนต์ 6000 คนต่อปี